แผลริมอ่อน คืออะไร โรคนี้อันตรายหรือไม่ ต้องมาดู

แผลริมอ่อน คืออะไร โรคนี้อันตรายหรือไม่ ต้องมาดู

เชื่อว่าหลายท่านอาจจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างกับโรค แผลริมอ่อน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโรค ซิฟิลิสเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศชนิดหนึ่งสามารถติดต่อกันได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ โดยผู้ป่วยจะมีลักษณะแผลตรงบริเวณอวัยวะเพศ และจะมีการลุกลามเปื่อยเป็นหนองไปถึงบริเวณขาหนีบ สร้างความเจ็บปวด ทรมานให้แก่คนที่ป่วยเป็นโรคนี้อย่างมาก แผลริมอ่อนคืออะไร และถ้าเป็นโรคนี้จะอันตรายหรือไม่วันนี้เรามีคำตอบให้

แผลริมอ่อน คืออะไร สาเหตุของโรค

แผลริมนอกคือเชื้อติดต่อทางเพศชนิดหนึ่งที่เกิดจากแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi ผู้ป่วยจะมีแผลพุพองเกิดขึ้นตามอวัยวะเพศและต่อมาจะพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโต ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะแต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาปล่อยไว้อาจจะเป็นอันตรายทำให้เป็นสาเหตุที่จะติดโรค HIV ได้ง่ายขึ้นซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็จะมีดังนี้

  • เกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบชนิดหนึ่งที่ไม่ชอบออกซิเจน ซึ่งเชื้อนี้จะมีจำนวนมากอยู่ที่หนองและจะกระจายเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์หลังจากนั้นจะสร้างสารพิษขึ้นมา ทำให้เกิดมีแผลตามบริเวณอวัยวะเพศและลุกลามไปยังส่วนต่างๆ
  • ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ประมาณ 4 – 7 วันหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์และได้รับเชื้อโรคนี้ไม่สามารถหายเองได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

อาการแผลริมอ่อน เป็นอย่างไร

อาการของผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ Haemophilus Ducreyi จากการมีเพศสัมพันธ์ ก็จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 4 – 7 วันถึงจะแสดงอาการและนี่คืออาการของผู้ป่วยแผลริมอ่อน

  • เมื่อได้รับเชื้อประมาณ 4 วันผู้ป่วยจะเริ่มมีตุ่มนูนขึ้นตามบริเวณอวัยวะเพศและมีอาการเจ็บมาก จากนั้นแผลก็จะเริ่มลุกลามไปทั่วบริเวณอวัยวะเพศหากเป็นเพศหญิงจะกระจายตามบริเวณแคมเล็ก หากผู้ป่วยเพศชายจะพบตรงปลาย องคชาต และอาจจะเกิดแผลตามบริเวณอื่นๆ ได้หากมีการร่วมเพศด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ปากหรือก้น
  • ไม่นานแผลจะเริ่มเปื่อยและมีน้ำหนองไหลเยิ้ม มีเนื้อเยื่อเละๆ หลุดตามแผล และขยายใหญ่ออกเรื่อยๆ แผลจะมีลักษณะนูนไม่เรียบจึงเรียกแผลริมใน แต่ถ้าเกิดในเพศหญิงจะไม่ค่อยแสดงอาการสักเท่าไหร่จึงเป็นสาเหตุทำให้เชื้อแพรกระจายได้ง่าย
  • ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีไข้หนาวสั่น เบื่ออาหาร และมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย
  • ผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิงบางรายมักจะมีอาการตกขาวมาก และมีกลิ่นเหม็น
  • มีอาการเจ็บขณะที่ร่วมเพศ
  • แผลริมอ่อนเป็นโรคที่ไม่สามารถหายเองได้ หากพบว่าป่วยควรได้รับการรักษาเพราะอาจลุกลามไปมากและจะทำให้อันตรายต่อผู้ป่วยได้

วิธีการรักษา

โรคแผลริมอ่อนไม่สามารถหายเองได้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีถึงจะสามารถหายขาดได้ ซึ่งการรักษานั้นสามารถรักษาด้วยตนเอง หรือจะไปพบแพทย์ก็สามารถทำได้ตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

-รักษาด้วยตัวเองเบื้องต้น

  • หากพบว่าป่วยเป็นโรคแผลริมอ่อนจะต้องทำการรักษาคู่นอนควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้โรคหายขาด
  • ดูแลรักษาอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาแผลด้วยการใช้น้ำเกลือล้างแผล และเช็ดทำความสะอาดแผลให้แห้งอยู่เสมอ เพราะถ้ามีความชื้นอาจจะทำให้มีโรคแทรกซ้อนได้ (แค่ล้างแผลอย่างเดียวไม่ควรทายาอะไรทั้งสิ้น)
  • รับประทานยาแก้ปวด และยาลดไข้ตามอาการ
  • งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายเป็นปกติ
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ขาดสติและเพิ่มโอกาสติดเชื้อจากโรคติดต่อเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น

-รักษาโดยแพทย์

  • แผลริมอ่อนเกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย Hemophylus Decreyi จึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะประเภท Azithromycin ,erythromycin , ceftriaxone
  • หากพบว่ามีอาการติดเชื้อแผลริมอ่อนผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะแผลที่เกิดจากอวัยวะเพศเกิดได้จากหลายโรค ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ซึ่งอาจต้องใช้ยารักษาคนละชนิดกัน และถ้าใช้ยาไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้เชื้อดื้อยาได้

วิธีการป้องกัน

โรคแผลริมอ่อนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีความร้ายแรงและสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นอย่างมาก เพราะแผลจะเปื่อยไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา อย่างไรก็ตามสามารถป้องกันโรคนี้ได้โดยการปฏิบัติดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน ถ้าจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่าเป็นโรคควรใช้ถุงยางอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ป่วยโรคนี้ ซึ่งจะเป็นวิธีที่ป้องกันได้ดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลที่อวัยวะเพศ
  • ควรงดมีเพศสัมพันธ์หากพบว่ามีแผลตรงบริเวณอวัยวะเพศ
  • ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศให้สะอาดทุกครั้งหลังมีเพศสัมพันธ์

แผลริมอ่อนคือโรคติดต่อทางเพศที่มีความรุนแรงมาก หากอยากห่างไกลจากโรคนี้ควรมีคู่นอนเพียงแค่คนเดียว และหากจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยและลดภาวะเสี่ยงจากการติดต่อโรคทางเพศสัมผัสชนิดอื่นๆ ด้วย

Author: beauty